Join The Community

วันอังคารที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ข้อดี-ข้อเสีย ของภาษาวิบัติ
(มาจากความเห็นของเรา และอ้างอิงจากที่อื่นประกอบ)

ข้อดี
1.ภาษาวัยรุ่นอะเพ่ เข้าจายกานหน่อย
2.มีการพัฒนาการเขียนที่หลากหลาย เช่น ก็ > ก้อ > ก้
3.ช่วยในการพัฒนาสมองซีกขวา(จินตนาการ)
4.แลดูสวยงาม น่าตื่นตา
5.ทำให้เป็นคนช่างประดิษฐ์ประดอย 
6.ประหยัดเวลาในการกด Shift
7.แลดูน่ารัก แอ๊บแบ๊ว
8.ภาษาวิบัติคือวิวัฒนาการของภาษา


ข้อเสีย
1.ทำให้ภาษาไทยผิดเพี้ยน
2.เขียน/สะกดภาษาไทยไม่ถูก
3.เวลาพิมพ์งานจริงมักพิมพ์ผิดพลาด
4.ไม่ได้บริหารมือ เพราะการจะพิมพ์ให้ถูกต้องบางตัวต้องกด Shift
5.ทำให้ไม่รู้จักความงดงามของภาษา
6.อ่านไม่ออก
7.ทำให้ผู้อ่านไม่รู้ว่าผู้เขียนจะสื่อสารเรื่องอะไร
8.เป็นการเพิ่มภาระในการพิมพ์เช่น ใจ เป็น จาย , จัย (ไม่รู้สึกบ้างหรอว่ามันยุ่งยาก)
8.ถึงคราวรุ่นลูกรุ่นหลานคงได้ใช้ภาษาไทย Vol.2
9.ทำให้คุณค่าของภาษาลดลง
10.บรรพบุรุษสมัยก่อนเค้าจะคิดยังไง เมื่อภาษาที่อุตส่าห์พัฒนาประดิษฐ์ขึ้นมามันเพื่อลูกหลานมันไม่เหมือนเดิมแล้ว


เครดิต  : http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1302920#ixzz1DLiLTwtA

เลิกใช้ภาษาวิบัติกันเถอะ

ภาษาไทยเป็นภาษาที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีรากฐานมาจากออสโตรไทย ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับภาษาจีน มีหลายคำที่ขอยืมมาจากภาษาจีน  
พ่อขุนรามคำแหงได้ประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 1826 มี พยัญชนะ 44 ตัว (21 เสียง), สระ 21 รูป (32 เสียง), วรรณยุกต์ 5 เสียง คือ เสียง สามัญ เอก โท ตรี จัตวา ภาษาไทยดัดแปลงมาจากบาลี และ สันสกฤต
            คนไทยเป็นผู้ที่โชคดีที่มีภาษาของตนเอง และมีอักษรไทย เป็นตัวอักษร ประจำชาติ อันเป็นมรดกล้ำค่าที่บรรพบุรุษได้สร้างไว้ ซึ่งเป็นเครื่องแสดงว่าไทยเราเป็นชาติที่มีวัฒนธรรมสูงส่งมาแต่โบราณกาลและยั่งยืนมาจนปัจจุบัน คนไทยผู้เป็นเจ้าของภาษา ควรภาคภูมิใจที่ชาติไทยใช้ภาษาไทย เป็นภาษาประจำชาติมากว่า 700 ปี และจะยั่งยืนตลอดไป ถ้าทุกคนตระหนักในความสำคัญของภาษาไทย

            หากแต่ในปัจจุบันเทคโนโลยีการติดต่อสื่อสารผ่านทางอินเตอร์เน็ตได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของคนไทยอย่างมาก ความสะดวกรวดเร็วในการติดต่อสื่อสารกลายเป็นสิ่งที่สำคัญมากกว่าการใช้ภาษาไทยซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของชาติให้ถูกต้อง อีกทั้งวัยรุ่นกลับมองว่าการใช้ภาษาที่ผิดกลายเป็นเรื่องของแฟชั่นที่ใคร ๆ ก็ทำกันทำให้เกิดภาษาใหม่ที่เป็นที่แพร่หลายบนโลกอินเตอร์เน็ตหรือเรียกว่าภาษาแชท(Chat) ขึ้น และถ้าหากคนในสังคมไทยยังคงใช้ภาษาไทย เขียนภาษาไทยแบบผิดๆ และไม่คิดใส่ใจที่จะใช้ภาษาไทยให้ถูกต้อง ต่อไปอาจทำให้เกิดความเคยชินจนติดนำมาใช้สื่อสารกันในชีวิตประจำวัน จนทำให้ภาษาไทยที่เป็นรากเหง้าของคนไทย ความภาคภูมิใจในภาษาที่บรรพบุรุษคิดค้นขึ้นมา ภาษาที่มีความสวยงาม ก็คงต้องเลือนหายไป และถูกแทนที่ด้วยภาษาแปลกๆที่ผุดขึ้นมาบนโลกอินเตอร์เน็ตอย่างเช่นในปัจจุบัน

          ดังนั้นคณะผู้จัดทำจึงได้จัดทำเว็บไซต์ ที่เป็นแหล่งรวบรวมข้อมูลการใช้ภาษาไทยที่ถูกต้องในการสื่อสาร เพื่อย้ำเตือนและให้ความรู้ในการใช้ภาษาไทยที่เป็นภาษาประจำชาติและเป็นความภาคภูมิใจให้คงอยู่ในสังคมไทยสืบไป

Blog


Blog  คือ
มารู้จักความหมาย ของประโยคคำถาม ที่มักจะมีคนถามผมบ่อย ๆ เวลาไปบรรยายตามที่ต่าง ๆ ว่า “Blog คืออะไร” กันดีกว่าครับ
Blog มาจากศัพท์คำว่า WeBlog บางคนอ่านคำ ๆ นี้ว่า We Blog บางคนอ่านว่า Web Log แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ทั้งสองคำบ่งบอกถึงความหมายเดียวกัน ว่านั่นคือบล็อก (Blog)
ความหมายของคำว่า Blog ก็คือการบันทึกบทความของตนเอง (Personal Journal) ลงบนเว็บไซต์ โดยเนื้อหาของ blog นั้นจะครอบคลุมได้ทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวส่วนตัว หรือเป็นบทความเฉพาะด้านต่าง ๆ เช่น เรื่องการเมือง เรื่องกล้องถ่ายรูป เรื่องกีฬา เรื่องธุรกิจ เป็นต้น โดยจุดเด่นที่ทำให้บล็อกเป็นที่นิยมก็คือ ผู้เขียนบล็อก จะมีการแสดงความคิดเห็นของตนเอง ใส่ลงไปในบทความนั้น ๆ โดยบล็อกบางแห่ง จะมีอิทธิพลในการโน้มน้าวจิตใจผู้อ่านสูงมาก แต่ในขณะเดียวกัน บางบล็อกก็จะเขียนขึ้นมาเพื่อให้อ่านกันในกลุ่มเฉพาะ เช่นกลุ่มเพื่อน ๆ หรือครอบครัวตนเอง
มีหลายครั้งที่เกิดความเข้าใจกันผิดว่า Blog เป็นได้แค่ไดอารี่ออนไลน์ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไดอารี่ออนไลน์เปรียบเสมือน เนื้อหาประเภทหนึ่งของบล็อกเท่านั้น เพราะบล็อกมีเนื้อหาที่หลากหลายประเภท ตั้งแต่การบันทึกเรื่องส่วนตัวอย่างเช่นไดอารี่ หรือการบันทึกบทความที่ผู้เขียนบล็อกสนใจในด้านอื่นด้วย ที่เห็นชัดเจนคือ เนื้อหาบล็อกประเภทท วิจารณ์การเมือง หรือการรีวิวผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ตัวเองเคยใช้ หรือซื้อมานั่นเอง อีกทั้งยังสามารถ แตกแขนงไปในเนื้อหาในประเภทต่าง ๆ อีกมากมาย ตามแต่ความถนัดของเจ้าของบล็อก ซึ่งมักจะเขียนบทความเรื่องที่ตนเองถนัด หรือสนใจเป็นต้น
จุดเด่นที่สุดของ Blog ก็คือ มันสามารถเป็นเครื่องมือสื่อสารชนิดหนึ่ง ที่สามารถสื่อถึงความเป็นกันเองระหว่างผู้เขียนบล็อก และผู้อ่านบล็อกที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย ที่ชัดเจนของบล็อกนั้น ๆ ผ่านทางระบบ comment ของบล็อกนั่นเอง
ในอดีตแรกเริ่ม คนที่เขียน Blog นั้นยังทำกันในระบบ Manual คือเขียนเว็บเองทีละหน้า แต่ในปัจจุบันนี้ มีเครื่องมือหรือซอฟท์แวร์ให้เราใช้ในการเขียน Blog ได้มากมาย เช่น WordPress, Movable Type เป็นต้น
ผู้คนหลายล้านคนจากทั่วทุกมุมโลก หันมาเขียน Blog กันอย่างแพร่หลาย ตั้งแต่นักเรียน อาจารย์ นักเขียน ตลอดจนถึงระดับบริษัทยักษ์ใหญ่ในตลาดหุ้น NasDaq
เมื่อสองสามปีที่ผ่านมา Blog เริ่มต้นมาจาก การเขียนเป็นงานอดิเรก ของกลุ่มสื่ออิสระต่าง ๆ หลาย ๆ แห่งกลายเป็นแหล่งข่าวสำคัญ ให้กับหนังสือพิมพ์หรือสำนักข่าวชั้นนำ จวบจนกระทั่งปี 2004 คนเขียน Blog ก็ได้รับการยอมรับจากสื่อและสำนักข่าวต่าง ๆ ถึงความรวดเร็วในการให้ข้อมูล ตั้งแต่เรื่องการเมือง ไปจนกระทั่ง เรื่องราวของการประชุม ระดับชาติ
และจากเหตุการณ์เหล่านี้ นับได้ว่า Blog เป็นสื่อชนิดหนึ่งที่ไม่ต่างจาก วีดีโอ , สิ่งพิมพ์ , โทรทัศน์ หรือแม้กระทั่งวิทยุ เราสามารถเรียกได้ว่า Blog ได้เข้ามาเป็นสื่อชนิดใหม่ ที่สำคัญอย่างแท้จริง
สรุปให้ง่าย ๆ สั้น ๆ ก็คือ Blog คือเว็บไซต์ ที่มีรูปแบบเนื้อหา เป็นเหมือนบันทึกส่วนตัวออนไลน์ มีส่วนของการ comments และก็จะมี link ไปยังเว็บอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องอีกด้วย



ขอขอบคุณข้อมูลจากลิ้งด้านล่างนี้คะ 

Green Technology : เทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อม

    


Green Technologies หรือเทคโนโลยีไอทีเพื่อสิ่งแวดล้อมนั้น สืบเนื่องมาจากในปัจจุบันได้มีการตื่นตัวกันอย่างมากของคนทั้งโลก ในเรื่องของการรักษาสภาพแวดล้อมให้แก่โลก เพราะในปัจจุบันคนทั้งโลกต้องเผชิญกับสภาวะโลกร้อนและความแปรปรวนของลม ฟ้า อากาศ ซึ่งทั้งหมดนั้นก็เกิดมาจากผลการกระทำของมนุษย์เอง

ไม่ว่าจะเป็นในอดีตหรือปัจจุบันก็ตาม ดังนั้นลองมาดูกันว่าเทคโนโลยีด้านระบบไอทีนั้น มีเทคโนโลยีไหนหรือเทคโนโลยีของใครบ้างที่ให้ความสำคัญกับการรักษาสภาพสิ่ง แวดล้อมของโลก และรายละเอียดของการรักษาสภาพแวดล้อมภายในเทคโนโลยีนั้น ๆ มีอะไรบ้าง

รู้จักกับ Green Technology

                พอพูดถึงคำว่า เทคโนโลยี เราก็มักจะนึกถึงแอพพลิเคชันที่ช่วยสร้างชิ้นงาน ความรู้ คำว่า Green Technology หรือเทคโนโลยีสีเขียวเป็นวิวัฒนาการ วิธีการและอุปกรณ์เครื่องมือเพื่อใช้ในการจัดการแก้ไขปรับแต่งให้การทำงาน ของผลิตภัณฑ์เพื่อไม่ให้เกิดปัญหา ผลกระทบจากการใช้งานของอุปกรณ์ เรียกว่าจะช่วยให้การทำงานของอุปกรณ์ต่างๆ สะอาดขึ้น ซึ่งเป้าหมายของการพัฒนานั้นได้เติบโตไปยังสิ่งต่างๆ ได้แก่
                *  การสนับสนุน จะมีการประชุมเพื่อสร้างสังคมในอนาคตโดยปราศจากการเสียหาย การทำลายทรัพยากรธรรมชาติ
                * การออกแบบจากแหล่งกำเนิดไปยังแหล่งกำเนิด การใช้งานของสิ่งต่างๆ ก็จะเป็นวัฏจักรของผลิตภัณฑ์ โดยการสร้างผลิตภัณฑ์ให้สามารถนำกลับมาใช้งานใหม่ได้
                * การลดข้อมูล เป็นการลดทิ้งและมลพิษ โดยการเปลี่ยนรูปแบบของการนำไปสร้างผลิตภัณฑ์และการบริโภค
                * พัฒนาสิ่งใหม่ๆ เป็นการพัฒนาเพื่อเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นการนำซากสัตว์มาเป็นเชื้อเพลิงหรือทางเคมี แต่ก็อาจทำให้สุขภาพและสภาพแวดล้อมเสียหายได้
                * ความสามารถในการดำรงชีวิต สร้างศูนย์กลางทางด้านเศรษฐศาสตร์ให้เหมาะสมกับเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ให้ เหมาะสมกับสภาพแวดล้อม ความเร็วในการพัฒนาและสร้างอาชีพใหม่เพื่อปกป้องโลก
                * พลังงาน ต้องรับรู้ข่าวสารทางด้านเทคโนโลยีสีเขียวรวมไปถึงการพัฒนาของเชื้อเพลิง ความหมายใหม่ของการกำเนิดพลังงาน และผลของพลังงาน
                * สภาพสิ่งแวดล้อม นำไปสู่การค้นหาสำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ เพื่อค้นหาสิ่งที่บรรลุและวิธีที่ทำให้เกิดการกระทบกับสภาพแวดล้อมน้อยที่ สุด
                เทคโนโลยีด้านระบบไอทีนั้นมีเทคโนโลยีไหน หรือเทคโนโลยีของใครที่ให้ความสำคัญกับการรักษาสภาพแวดล้อมของโลก และรายละเอียดของการรักษาสภาพแวดล้อมภายในเทคโนโลยีนั้นๆ มีอะไรบ้าง
 Green Computer
                Green Computer เครื่องคอมพิวเตอร์ที่รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรอื่นๆ ประกอบไปด้วยพลังงานหน่วยประมวลผลศูนย์กลางที่มีประสิทธิภาพ (ซีพียู) เครื่องเซิร์ฟเวอร์ และอุปกรณ์เสริมเพื่อลดการทำงานของทรัพยากรและการจัดการเรื่องการสิ้นเปลือง ของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ (e-Waste)
                นานมาแล้วที่เราได้มีการริเริ่มการใช้ Green Computing ในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยการติดป้ายเป็นรูปดาวพลังงานหรือ Energy Star ซึ่งนั่นเป็นการริเริ่ม Environmental Protection Agency (EPA) การป้องกันทางด้านสิ่งแวดล้อมในปี ค.ศ. 1992 เพื่อโฆษณาโดยหวังให้อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ต่างๆ ได้นำไปใช้งานด้วยการติดลาเบล Energy Star โดยเฉพาะเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก เครื่องคอมพิวเตอร์ และหน้าจอ ซึ่งได้ถูกนำไปใช้งานทวีปยุโรปและเอเชีย ซึ่งเป็นแนวทางให้มีการใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์แบบนี้ เพื่อลดปัญหาที่เกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งผู้ที่ใช้งานคอมพิวเตอร์ก็อย่างเช่น ผู้ใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์และทางด้านธุรกิจตัวอย่างการลดพลังงาน ได้แก่
                * ให้ซีพียูและอุปกรณ์เสริมต่างๆ ที่ไม่ได้ใช้งาน ลดการใช้พลังงานลง
                * ลดพลังงานและการจ่ายไปให้แก่อุปกรณ์เสริมที่ไม่ได้ใช้งานนาน เช่น เครื่องพิมพ์เลเซอร์
                * ให้หันมาใช้จอภาพหรือมอนิเตอร์ในแบบ Liquid-Crystal-Display (LCD) แทนการใช้มอนิเตอร์ Cathode-Ray-Tube (CRT)
                * ถ้าเป็นไปได้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กมากกว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ เดสก์ทอป เพราะเครื่องคอมพิวเตอร์เดสก์ทอปจะกินไฟและใช้พลังงานมากกว่าเครื่อง คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก
                * ใช้ฟีเจอร์ Power-Management ให้ปิดการทำงานของฮาร์ดดิสก์ และหน้าจอมอนิเตอร์หากไม่ได้มีการใช้งานติดต่อกันนานๆ หลายนาที
                * ใช้กระดาษให้น้อยที่สุด และถ้าเป็นไปได้ก็ให้นำกระดาษกลับมาใช้งานหมุนเวียนอีก
                * ลดการใช้พลังงานกับเครื่องคอมพิวเตอร์เวิร์กสเตชัน เซิร์ฟเวอร์ เน็ตเวิร์กและข้อมูลส่วนกลาง
Green Data Center
                ศูนย์กลางข้อมูลสีเขียว คือ การใช้งานทางด้านการจัดเก็บข้อมูล การจัดการทางด้านข้อมูลและการแพร่กระจายของข้อมูลที่จัดเก็บไว้ในเครื่อง จักร อุปกรณ์ไฟฟ้าและระบบคอมพิวเตอร์ที่ออกแบบมาเพื่อให้พลังงานสูงสุดแต่มีผล กระทบกับสิ่งแวดล้อมน้อยสุด ทั้งการออกแบบการคำนวณจะเน้นศูนย์กลางข้อมูลสีเขียวรวมถึงเทคโนโลยี
ขั้นสูงและยุทธศาสตร์ต่างๆ ตัวอย่างเช่น
                * ใช้อุปกรณ์ที่แผ่กระจายแสงได้น้อยๆ อย่างการปูพรม
                * การออกแบบที่สนับสนุนสภาพแวดล้อม
                * ลดการสิ้นเปลืองโดยการนำกลับมาใช้งานอีก
 สภาพแวดล้อมที่ได้รับผลกระทบจากการใช้งานระบบไอที
                เชื่อหรือไม่ว่า เครื่องคอมพิวเตอร์ที่เราใช้งานอยู่นี้ก่อให้เกิดปัญหาต่อสภาพแวดล้อม ซึ่งเมื่อใช้งานอยู่ก็คงไม่รบกวนโลกมาก แต่พอเครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานช้าลง เราก็อัพเกรด จวบจนวันหนึ่งที่ไม่สามารถอัพเกรดได้ก็ต้องเอาไปขายเป็นเศษเหล็ก ซึ่งก็ได้เงินมาไม่กี่บาท แต่ขยะคอมพิวเตอร์ ซึ่งอุปกรณ์บางอย่างก็ไม่สามารถย่อยสลายได้ แถมยังก่อมลพิษทางด้านอากาศ สิ่งแวดล้อมให้แก่โลกอีกด้วย เพราะในส่วนประกอบของเครื่องคอมพิวเตอร์เรานั้น ก็มีทั้งที่ประกอบไปด้วย พลาสติก อะลูมิเนียม สังกะสี และอื่นๆ
                ปัจจุบันมีผู้ใช้งานได้คิดประดิษฐ์นำเอาไม้ไผ่เข้ามาเป็นส่วนประกอบกับ อุปกรณ์เครื่องคอมพิวเตอร์ เช่น คีย์บอร์ด หน้าจอมอนิเตอร์ เมาส์ หรือเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก หรือเดี๋ยวนี้ถุงพลาสติกที่เราใส่ของก็ย่อยสลายยาก จนบางห้างสรรพสินค้ารณรงค์ให้ใช้ถุงผ้าแทนการใช้ถุงพลาสติกเพื่อลดการเปิด ปัญหาโลกร้อนหลายคนกำลังรณรงค์ไม่ให้โลกร้อนเกิดขึ้นในอนาคต โดยให้ทุกคนบนโลกช่วยกันแก้ปัญหา และร่วมมือทั้งการปิดแอร์เมื่อไม่ใช้งาน
ดับ เครื่องรถยนต์เมื่อต้องจอดรอเป็นเวลานานๆ และอีกหลายร้อยวิธีที่ช่วยให้โลกของเราอยู่ร่วมกับเราไปได้อีกนาน ต้องช่วยกันตั้งแต่วันนี้




ขอขอบคุณข้อมูลจากลิ้งด้านล่างนี้คะ
CreditsLink Data : greennetworkthailand.com

อันตรายของรังสีคอมพิวเตอร์ต่อผิวหนัง

อันตรายของรังสีคอมพิวเตอร์ต่อผิวหนัง


            เป็นเรื่องยากที่จะทำให้สุขภาพผิวเป็นอย่างที่ใจต้องการ เมื่อต้องทำงานอยู่หน้าจอคอมนานนับชั่วโมงผลกระทบของรังสีคอมพิวเตอร์ต่อผิวหนัง
        อาการคัน เป็นผลกระทบที่เกิดจากการได้รับรังสีในปริมาณน้อย เป็นระยะเวลาสั้นๆ ผิวหนังจะดำขึ้น หลอดเลือดที่อยู่ใต้ผิวหนังเกิดการขยายตัว ทำให้เกิดอาการคันและอักเสบ เกิดผิวหนังร้อนแดง

         ผิวหมองคล้ำ ริ้วรอย ตีนกา คอมพิวเตอร์ทำให้เกิดโรคเกี่ยวกับผิวหนัง ซึ่งจะพบได้ตั้งแต่ไม่มีแผล แต่รู้สึกแสบร้อน ผิวดำคล้ำ เหมือนตากแดด หรือได้รับปริมาณมาก ผิวหนังจะค่อยๆ แดงขึ้น ต่อมาพองออกเป็นถุงน้ำใส เมื่อถุงน้ำแตกออกจะเห็นเป็นเนื้อแดงเหมือนถูกไฟไหม้ อาการเหล่านี้มีสาเหตุมาจากจอคอมพิวเตอร์เป็นไฟฟ้าสถิตประจุลบประกอบกับหน้า จอมักจะมีฝุ่นมาจับ เมื่อเรานั่งใกล้จอคอมพิวเตอร์ ตัวเราเป็นที่ไฟฟ้าประจุบวก ไฟฟ้าสถิตประจุลบจากจอคอมพิวเตอร์จะวิ่งเข้าสู่ใบหน้าที่เป็นประจุบวกพร้อม กับพาฝุ่นผงที่ทำให้เกิดผื่นคัน โรคผิวหนัง มาที่ใบหน้า แก้มและรอบดวงตาของเรา นอกจากนี้อาจมีสาเหตุมาจากคอมพิวเตอร์สามารถปล่อยรังสี UVA รวมไปถึงคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมาได้ ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดกระฝ้าที่คาดไม่ถึง ทั้งนี้เพราะทางด้านหน้า ด้านข้าง และด้านหลังจอคอมพิวเตอร์จะมีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าปล่อยออกมาในเวลาเดียวกัน

         ผิวหนังไหม้ ผลกระทบจากการได้รับรังสีจะพบได้ตั้งแต่ไม่มีแผล แต่รู้สึกแสบร้อน เหมือนตากแดด หรือได้รับปริมาณมาก ผิวหนังจะค่อยๆ แดงขึ้น ต่อมาพองออกเป็นถุงน้ำใส เมื่อถุงน้ำแตกออกจะเห็นเป็นเนื้อแดง ไหม้ เหมือนถูกไฟไหม้

         มะเร็งผิวหนั ผลกระทบจากการได้รับรังสีจะขึ้นอยู่กับขนาดหรือปริมาณ ระยะเวลา การซึมผ่านเข้าเนื้อเยื่อ ความยาวคลื่น ระดับพลังงานแสง และคุณลักษณะของผิวหนัง ผิวหนังจะเกิดการเปลี่ยนสีเป็นสีดำขึ้น เกิดผิวหนังร้อนแดงเนื่องจากเลือดคั่ง เกิดผิวไหม้ ซึ่งในปัจจุบันยังไม่มีทฤษฎีใดที่สามารถบ่งได้เด่นชัดว่า การได้รับแสงยูวีทำให้เกิดมะเร็งผิวหนัง แต่จากตัวเลขของผู้ป่วยที่มารักษา พบว่า คนที่อยู่สัมผัสแสงยูวีบ่อยๆ เช่น ผู้ที่ต้องทำงานกลางแจ้ง หรือผู้ที่อยู่ในโซนร้อน จะมีอาการแพ้บนผิวหนัง และมีการเกิดมะเร็งบนผิวหนังด้วย 
วิธีป้องกันอันตรายรังสี จากคอมพิวเตอร์ต่อผิวหนัง   
 อุปกรณ์ป้องกันรังสีจากคอมพิวเตอร์ 
        แผ่นกรองรังสี   การใช้แผ่นกรองรังสีติดไว้ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์จะช่วยลดการกระจายรังสีจาก คอมพิวเตอร์ ซึ่งความสามารถในการลดการกระจายรังสีนั้น ขึ้นอยู่กับคุณภาพของแผ่นกรองรังสี

         ครีม  ครีมจะช่วยปกป้องผิวไม่ให้หมองคล้ำและได้รับอันตรายจากรังสีความร้อน และมีส่วนช่วยในการปรับสภาพผิวที่หมองคล้ำ ไหม้ ให้สีผิวสว่างใส มีลักษณะของผิวหนังที่ดีขึ้น

        ปลูกต้นไม้ดูดซับรังสี  ต้นกระบองเพชรสามารถช่วยลดปริมาณรังสีจากคอมพิวเตอร์ได้ซึ่งได้ข้อมูลมาจาก บทความเกี่ยวกับความเจ็บป่วยจากจอคอมพิวเตอร์ของโรเจอร์ได้อ้างถึงผลวิจัย ของสถาบัน Recherches en Geobiologie ของสวิตเซอร์แลนด์ นอกจานี้ต้นกระบองเพชรมีขนาดต้นที่เล็กและกระทัดลัดทำให้ดูไม่เกะกะ เมื่อออกดอกจะมีสีสันสวยงามทำให้ดูผ่อนคลายได้

         ทานผักผลไม้  ผลไม้มีส่วนช่วยในการป้องกันจากผลกระทบของรังสีเนื่องจากผลไม้อุดมไปด้วย วิตามินและสารอาหารหลายชนิดที่เป็นประโยชน์ต่อผิวหนังของมนุษย์เช่นวิตามิน ซีที่ส่วนช่วยในการสร้างคลอลาเจนมีวิตามิน E ช่วยทำให้เพิ่มอายุของคอลาเจนใต้ผิว lycopene ป้องกันผิวเสียจากรังสียูวี เบต้าแคโรทีน ซึ่งจะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ อาหารที่จำเป็นสำหรับผิว วิตามินและสารอาหารเหล่านี้มากได้ในมะนาว ส้ม กีวี หรือพบในผักพวกมะเขือเทศ แครอท ถั่วฝักยาว เป็นต้น นอกจากนี้ผลไม้ยังช่วยในการบำรุงและเป็นประโยชน์ส่วนอื่นของร่างกายมนุษย์
        การปฏิบัติตนในการใช้คอมพิวเตอร์เพื่อป้องกันรังสีจากคอมพิวเตอร์   
        ควรให้หน้าจอภาพคอมพิวเตอร์อยู่ต่ำกว่าระดับสายตาประมาณ 20 องศา และระยะในการมองควรอยู่ระหว่าง 50-70 เซนติเมตร
             : 
ควรนั่งเก้าอี้ให้อยู่ระดับพอดี โดยให้หัวเข่าตั้งฉาก 90 องศา และเมื่อนั่งแล้วควรนั่งหลังตรงหรือนั่งให้หลังพิงกับพนักพิง
             : 
ในระหว่างที่ทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานควรมีการหยุดพัก เพื่อให้ร่างกายได้ผ่อนคลายกล้ามเนื้อและพักสายตา
             : 
ควรตั้งหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้ตัวหนังสือมืดบนพื้นสว่างในระดับความสว่างของแสงประมาณ 300-500 ลักซ์

วิธีการพักสายตา

      ใครชอบใช้คอมนานๆ ควรพักสายตาบ้างนะด้วยวิธีดีๆ เหล่านี้
 จากกวิธีการพักสายตาารใช้ คอมพิวเตอร์ 
        คนเราส่วนใหญ่จะนั่งทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์มากๆ มีบางครั้งล้าสายตาหรือปวดตา ทำให้เกิดการระคายเคือง ตาอักเสบ วิธีการช่วยบรรเทาการปวดตา
          1.หลับตา แล้วเกือกตาไปมา ซ้าย ขวา บน ล่าง และหลับให้นิ้งประมาณ5นาที
          2.ออกไปสูดอากาศหายใจจะได้ผ่อนคลายไปในตัว
          3.มองดูอะไรก็ได้ที่เป็นสีเขียว เช่น ต้นไม้ สนามหญ้า ฯลฯ หรืออะไรก็ได้ ที่มองแล้วสบายหูสบายตา วิธีนี้ส่วนมากใช้ได้ผล70%
          4.หาอุปกรณ์ เช่น แว่น ฯลฯ




เมื่อเทคโนโลยีมันก้าวมาถึงขีดที่คอมพิวเตอร์ซึ่งเคยแสนวิเศษ กำลังจะกลายเป็นอุปกรณ์ธรรมดาๆ ที่จำเป็นต้องมีของทุกหน่วยงาน 

        ทุกคนต้องใช้ได้ใช้เป็น และเรากำลังหลงใหลได้ปลื้มกับความสามารถของคอมพิวเตอร์ จนลืมนึกถึงพิษภัยที่มันมากับคอมพิวเตอร์ แม้จะไม่ใช่ทางตรงทีเดียวกันก็ตาม พิษภัยนี้มีไว้สำหรับท่านที่นั่งใช้อยู่หน้าจอเป็นประจำเท่านั้น โดยเฉพาะท่านที่ต้องนั่งอยู่หน้าจอเกิน6ชั่วโมงต่อวัน จากการนั่งทำงานเป็นประจำ ผลกระทบต่อสุขภาพเบื้องต้นที่แน่ๆ ก็คือ ปวดหลัง ปวดไหล่ ต้นคอ และข้อมือ เกิดอาการเครียดที่ตา เพราะขณะมองจอนั้นผู้ใช้มักไม่กะพริบตา เป็นผลให้ตาขาดน้ำหล่อเลี้ยงเกิดอาการระคายเคืองได้ และอาการที่ตามมาคือตาพร่าและมองไม่เห็นชั่วคราว นอกจากนี้ ยังอาจมีอาการไมเกรนพ่วงมาด้วย

         ปัญหาทางตาเป็นปัญหาที่น่าห่วงมาก เพราะเมื่อตาเกิดความเครียดกล้ามเนื้อตา จะบีบรัดเลนซ์ตาจนเกิดความเมื่อยล้า หมอจึงแนะนำว่า ถ้าต้องใช้สายตาอยู่กับจอนานๆ ควรพักสายตาทุกสิบนาที 

ด้วยการเปลี่ยนไปมองวัตถุที่อยู่ไกลออกไปสัก20ฟุตมองสัก2-3นาทีแล้วค่อยมองจอต่อ จักษุแพทย์ได้แนะให้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์นานๆ ต้องพักสายตาให้มองไกลทุก10นาที และท่านที่มีปัญหาสายตาสวมแว่นอยู่แล้วนั้น ถ้าต้องมารับหน้าที่อยู่หน้าจอนานๆ ควรมีแว่นตาเฉพาะสำหรับงานหน้าจอนี้ด้วยอีกอันหนึ่ง ซึ่งแตกต่างไปจากแว่นตาที่ใช้ยามปกติ ส่วนจะแตกต่างอย่างไร คงต้องปรึกษาจักษุแพทย์ และในขณะเดียวกันท่านเหล่านี้ควรได้รับการตรวจวัดสายตาเป็นประจำ เพื่อให้ได้ขนาดเลนซ์ที่เหมาะสม 
          นอกจากนี้ เพื่อเป็นการถนอมสายตาที่ยังไม่มีปัญหา ไม่ควรสวมเสื้อผ้าที่มีสีสว่างขณะนั่งหน้าจอ เพราะสีของเสื้อจะไปทำให้เกิดแสงสะท้อนบนจอภาพได้ และแสงสะท้อนนี้แหละที่จะทำให้กล้ามเนื้อตาอ่อนล้ากว่าปกติ และยังมีอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ตาเมื่อยล้าได้คือ ถ้าแสงจากจอสว่างน้อยกว่าแสงโดยรอบ ข้อนี้ผู้จัดสำนักงานควรจะมีความรู้ด้วย ทั้งหมดคงต้องเป็นหน้าที่ของผู้ใช้คอมพิวเตอร์เองที่จะเป็นผู้รับผิดชอบสุขภาพของตนเอง เพราะถ้าเกิดปัญหาสายตาขึ้น จะไปเรียกร้องเงินทดแทนก็คงทำได้ยาก


ไวรัสคอมพิวเตอร์ที่ถือเป็นต้นแบบของไวรัสคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันถือกำเนิดขึ้นในปีใด


20 ไวรัสที่ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์

1.CREEPER (1971)
โปรแกรมหนอนอินเตอร์เน็ตตัวแรกเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม ในคอมพิวเตอร์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ TOPS TEN

2.ELK CLONER (1985)
ไวรัสคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลตัวแรกที่เกิดกับ Apple IIe เป็นผลงานของเด็กนักเรียนระดับมัธยมศึกษา (เกรด 9)

3.THE INTERNET WORM (1985)
เขียนโดยบุคลากรในมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ซึ่งมีผลต่อการใช้งานอินเตอร์เน็ต

4.PAKISTANI BRAIN (1988)
ไวรัสตัวแรกที่ติดกับคอมพิวเตอร์พีซีไอบีเอ็ม เขียนโดยสองพี่น้องจากปากีสถาน ถือเป็นไวรัสตัวแรกที่สื่อให้ความสนใจอย่างแพร่หลาย

5.JERUSALEM FAMILY (1990) มีสายพันธุ์ที่แตกต่างกันประมาณ 50 สายพันธุ์ เชื่อกันว่ามีต้นกำเนิดมาจากมหาวิทยาลัยเยรูซาเล็ม

6.STONED (1989)
ไวรัสที่แพร่ระบาดหนักที่สุดช่วงสิบปีแรก ติดเชื้อในส่วนบูตระบบ /.mbr ส่งผลให้รีบูตระบบหลายครั้งและยังแสดงข้อความว่า “your computer is now stoned”

7.DARK AVENGER MUTATION ENGINE (1990)
เขียนเมื่อปี 1988 แต่นำไปใช้ครั้งแรกต้นปี 1990 เช่นเดียวกับไวรัส POGUE และ COFFEESHOP กลไกการกลายพันธุ์ได้หลากหลายรูปแบบของไวรัสตัวนี้ ทำให้ไวรัสสามารถทำงานได้ตลอดเวลา

8.MICHEANGELO (1992)
สายพันธุ์หนึ่งของ STONED ความสามารถทำลายล้างสูง โดยวันที่ 6 มีนาคม ไวรัสตัวนี้จะลบ 100 เซ็คเตอร์แรกของฮาร์ดไดรฟ์ให้ใช้งานไม่ได้

9.WORLD CONCEPT (1995)
ไวรัส Microsoft Word Macro ตัวแรกที่แพร่กระจายสู่โลกภายนอก โดยมีการแอบใส่ข้อความไว้ว่า “That”s enough to prove my point” ถือเป็นการเปิดศักราชใหม่ในยุคที่สองของไวรัสคอมพิวเตอร์ และที่สำคัญเป็นไวรัสคอมพิวเตอร์ที่เกิดจากแฮกเกอร์ซึ่งมีทักษะน้อยมาก

9.WORLD CONCEPT (1995)
ไวรัส Microsoft Word Macro ตัวแรกที่แพร่กระจายสู่โลกภายนอก โดยมีการแอบใส่ข้อความไว้ว่า “That”s enough to prove my point” ถือเป็นการเปิดศักราชใหม่ในยุคที่สองของไวรัสคอมพิวเตอร์ และที่สำคัญเป็นไวรัสคอมพิวเตอร์ที่เกิดจากแฮกเกอร์ซึ่งมีทักษะน้อยมาก

10.CIH/CHERNOBYL (1998)
ไวรัส Chernobyl เป็นไวรัสทำลายล้างมากที่สุดเท่าที่เคยพบ เริ่มปฏิบัติการทำลายล้างโดยอาศัยเงื่อนไข คือ เมื่อปฏิทินในเครื่องคอมพิวเตอร์ตรงกับวันที่ 26 ในทุกๆ เดือน สามารถทำลายข้อมูลในฮาร์ดดิสก์ และทำลายข้อมูลการบูตที่เก็บอยู่ในไบออส โดยแฟลชไบออสด้วยข้อมูลขยะส่งผลให้ข้อมูลต่างๆ ที่เคยแสดงตอนบูตเครื่องกลายเป็นหน้าว่างๆ และไม่สามารถเรียกขึ้นมาใช้งานได้อีกต่อไป

11.MELISSA (1999)
ไวรัส สำคัญตัวแรกที่แพร่ระบาดผ่านอี-เมล และเป็นการเริ่มต้นของยุคไวรัสอินเตอร์เน็ตอย่างแท้จริง แม้ Melissa ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อการทำลาย แต่ก่อให้เกิดความรำคาญแก่ผู้ใช้เนื่องจากจะทำให้กล่องรับอี-เมลเต็มในทุก ที่ที่เกิดการติดเชื้อ

12.LOVEBUG (2001)
หนอนอี-เมลที่ได้รับความนิยมสูงสุด เป็นรูปแบบของการใช้ชุมชนเครือข่ายสังคมออนไลน์ให้เป็นประโยชน์

13.Code RED (2001)
ตั้ง ชื่อตามเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนสูงที่ได้รับความนิยม ไวรัสเครือข่ายตัวนี้จะอาศัยอยู่ในคอมพิวเตอร์ที่มีช่องโหว่ความปลอดภัย และทำการแพร่ระบาดด้วยตัวเอง

13.Code RED (2001)
ตั้ง ชื่อตามเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนสูงที่ได้รับความนิยม ไวรัสเครือข่ายตัวนี้จะอาศัยอยู่ในคอมพิวเตอร์ที่มีช่องโหว่ความปลอดภัย และทำการแพร่ระบาดด้วยตัวเอง

14.NIMDA (2001)
เรียกกันว่า “Swiss Army Knife” หรือมีดอเนกประสงค์ของไวรัส ซึ่งจะใช้หลายวิธีในการเข้าสู่เครือข่าย ไม่ว่าจะเป็นหน่วยความจำล้นอี-เมล การใช้เครือข่ายร่วมกัน และวิธีการอื่นๆ อีกเป็นสิบวิธี

15.BAGEL/NETSKY (2004)
เป็นไวรัสที่ออกแบบมาโดยมีความสามารถเทียบเคียงกัน และต่อสู้กันเอง แต่ละตัวสร้างสายพันธุ์ออกมาอีกนับร้อยสายพันธุ์ และใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ซึ่งประสบความสำเร็จในการแพร่ระบาดอย่างมาก หนอนทั้งสองตัวนี้ติดอยู่ในกระแสข่าวตลอดทั้งปี

16.BOTNETS (2004)
นัก รบซอมบี้ในโลกอินเตอร์เน็ตเหล่านี้ช่วยงานอาชญากรไซเบอร์ด้วยการสะสมกำลังพล คอมพิวเตอร์ที่ติดเชื้ออย่างไม่มีวันสิ้นสุด โดยอาชญากรไซเบอร์จะสามารถกำหนดค่าใหม่ให้กับคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายได้ เพื่อให้ส่งต่อสแปม เพิ่มเหยื่อติดเชื้อ และขโมยข้อมูล

17.ZOTOB (2005)
หนอนตัวนี้มีผลเฉพาะกับระบบ Windows 2000 ที่ไม่ได้ติดตั้งโปรแกรมซ่อมแซม แต่ความสามารถที่โดดเด่น เข้าควบคุมไซต์ของสื่อรายใหญ่หลายแห่ง รวมทั้งซีเอ็นเอ็น และนิวยอร์ก ไทม์ส ด้วย

18.ROOTKITS (2005) หนึ่งในเครื่องมือที่ได้รับความนิยมสูงสุดในโลกของโค้ดที่เป็นอันตราย ซึ่งถูกใช้เพื่อทำให้มัลแวร์อื่นสามารถซ่อนตัวอยู่ในคอมพิวเตอร์ได้ โดยมัลแวร์ที่ซ่อนตัวอยู่จะทำงานที่เป็นอันตรายอย่างลับๆ

19.STORM WORM (2007)
ไวรัส ลวงที่ที่เกิดขึ้นซ้ำนับพันๆ ครั้ง และในท้ายที่สุดก็จะสร้างบ็อตเน็ตที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยเชื่อว่ามีคอมพิวเตอร์ที่ติดเชื้อในเวลาเดียวกันมากกว่า 15 ล้านเครื่อง และอยู่ภายใต้การควบคุมของอาชญกรใต้ดิน

20.ITALIAN JOB (2007)
ไม่ใช่มัลแวร์ที่ใช้เครื่องมือเดี่ยวๆ แต่เป็นการโจมตีร่วมกันโดยใช้ชุดเครื่องมือที่จัดเตรียมไว้ล่วงหน้าหรือ รู้จักว่า MPACK เพื่อสร้างมัลแวร์รุ่นใหม่เพื่อการขโมยข้อมูลขึ้นมา และมีเว็บไซต์กว่าหมื่นแห่งตกเป็นเหยื่อ
อ้างอิงจาก http://eieinaka.wordpress.com/tag/elk-cloner/ www.sanook

วันจันทร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

Music

ขั้นตอนการทำเพลงจาก mixpod.com

1.เข้าไปที่ www.mixpod.com ทำการสมัครสมาชิก โดยคลิกที่ sign up  


2.กรอกข้อมูลต่างๆ
             Your Email: * = ใส่อีเมล์
             New Password: * = ใส่พาสเวิร์ด
             Re-type Password: * = ใส่พาสเวิร์ดอีกครั้ง
             Birthdate: * = เลือกวันเกิด
             I am: * = เลือกเพศ
             Location: * = เลือกประเทศ  


3.เมื่อสมัครเสร็จแล้ว ให้ล็อกอินให้เรียบร้อย 


4.เริ่มต้นสร้าง play list คลิกที่เมนู Create Playlist  


ขั้นตอนที่ 1 : Add Music
การเพิ่มเพลงเข้าสู่ playlist จะมีอยู่ 2 แบบ คือ

: Search Music


เราสามารถ พิมพ์ชื่อเพลง หรือ ชื่อศิลปิน เพื่อค้นหาเพลงในระบบ ที่มีคนเคย add url เข้ามาแล้ว เมื่อค้นหาเสร็จแล้ว
คลิกปุ่ม  เพื่อทดลองฟัง คลิกที่ปุ่ม  เพิ่มเพลงเข้า playlist ด้านขวา
(จะเลือกเพลงเดียวหรือหลายเพลงก็ได้)

: Add URL



ให้นำ url ของมิวสิควีดีโอใน youtube มาใส่ 
(หากเลือกสกินของ mixpod ที่แสดงวีดีโอได้ ก็จะมีวีดีโอของ youtube ขึ้นมาให้ดูได้ด้วย)
หรือเอา url ของไฟล์เพลง mp3 มาใส่ 
โดย url ต้องลงท้ายเป็น .mp3 เท่านั้น อาจจะอัพโหลดไว้ตามเว็บเช่น 

คำแนะนำ

- ให้เราเลือกเพลงที่เสียงชัดเจน และสังเกตุเวลาของเพลง ว่าเต็มเพลงหรือไม่
- หากค้นหาเพลงที่ต้องการไม่เจอ ให้ใช้การ Add URL
- ตรงรายชื่อเพลงที่เราเพิ่มไว้แล้ว เราสามารถคลิกที่ 
เพื่อแก้ไขชื่อเพลงในกรณีชื่อเพลงไม่ตรง หรือแก้เป็นภาษาอังกฤษก็ได้ เพราะ mixpod อ่านชื่อเพลงไทยไม่ออก


ขั้นตอนที่ 2 : Customize  
การปรับแต่งจะมีอยู่ 3 ส่วน คือ

Skin
  


สกินของ mixpod มีให้เลือกหลายแบบ คลิกเลือกสกินที่ต้องการ
Video & MP3 Skins : สกินสำหรับเพลงที่เป็นวีดีโอและmp3 
(ถ้าใช้ url จาก youtube ต้องเลือกสกินกลุ่มนี้)
MP3 Skins : สกินสำหรับ mp3  

Colors and Styles


ปรับแต่งสีและลายให้สกิน
- Color : เลือกสีให้กับสกินที่ใช้
- Use Gradient : ไล่สีจากบนลงล่าง
- Preset Palettes : เลือกแบบสี
- Styles : เลือกสไตล์
- Animated : เลือกภาพเคลื่อนไหว

: Settings


ตั้งค่าต่างๆ
- Autoplay : เริ่มเล่นเพลงอัตโนมัติ
- Shuffle : สุ่มเพลง
- Loop : เล่นวนซ้ำ
- Privacy : ความเป็นส่วนตัว
- Volume : ปรับความดังเสียง

ขั้นตอนที่ 3 : Save Playlist  


- Playlist Title (ต้องใส่) : ใส่ชื่อ playlist
- Playlist Description : ใส่รายละเอียด
- Genres : เลือกประเภทแนวเพลง
- Categories : เลือกหมวดหมู่

เสร็จแล้วคลิก Save (get code)  
เท่านี้ก็เสร็จแล้วคะ ^^

Photo Shop

Phoshop คืออะไร
โปรแกรมPhotoshopเป็นโปรแกรมสร้างและแก้ไขรูปภาพอย่างมืออาชีพโดยเฉพาะนักออกแบบในทุกวงกาย่อมรู้จักโปรแกรมตัวนี้ดี โปรแกรม Photoshop เป็นโปรแกรมที่มีเครื่องมือมากมายเพื่อสนับสนุนการสร้างงานประเภทสิ่งพิมพ์ งานวิดีทัศน์ งานนำเสนอ งานมัลติมีเดีย ตลอดจนงานออกแบบและพัฒนาเว็บไซต์ ในชุดโปรแกรม Adobe Photoshopจะประกอบด้วยโปรแกรมสองตัวได้แก่ Photoshop และ ImageReady การที่จะใช้งานโปรแกรม Photoshopคุณต้องมีเครื่องที่มีความสามารถสูงพอควร มีความเร็วในการประมวลผล และมีหน่วยความจำที่เพียงพอ ไม่เช่นนั้นการสร้างงานของคุณคงไม่สนุกแน่ เพราะการทำงานจะช้าและมีปัญหาตามมามากมาย ขณะนี้โปรแกรม Photoshop ได้พัฒนามาถึงรุ่น Adobe Photoshop CS
ที่มา http://www.kados.th.gs/web-k/ados/Phoshop.html
ลักษณะหน้าต่างของโปรเเกรม


เมื่อเรียกใช้งานโปรแกรม Adobe PhotoShop (ตัวอย่างที่แนะนำคือ Adobe PhotoShop 6.0) จะปรากฏหน้าต่างการทำงาน ดังนี้



1.Title Bar แสดงชื่อโปรแกรม และ/หรือ ชื่อไฟล์ ตลอดจนค่าเกี่ยวกับโหมดภาพ

2.Control Button ปุ่มควบคุมหน้าต่าง ประกอบด้วยปุ่ม Minimize, Maximize/Restore, Close Button


3.Menu Bar แถบคำสั่งควบคุมการทำงาน

4.Toolbox แถบเครื่องมือ

5.Workarea Window หน้าต่างสร้างงาน

6.Screen Area หน้าต่างโปรแกรม


7.Palettes ชุดคำสั่งเฉพาะงาน

8.Status Bar แสดงสถานะการทำงาน

9.Option Bar แสดงชุดคำสั่งย่อยของเครื่องมือที่เลือกใช้งาน



เครื่องมือจากแถบ Toolbarsเครื่องมือต่างๆ ประกอบด้วย



เครื่องมือพื้นฐาน


Zoom ใช้ในการขยายภาพวัตถุเข้า-ออก เพื่อให้เราสามารถมองเห็นงานได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
เมื่อต้องการขยายภาพให้ใหญ่ขึ้นให้นำเคอร์เซอร์ไปคลิกที่ภาพ
ถ้าต้องการทำให้ภาพเล็กลง ให้กด ค้างไว้แล้วจึงไปคลิกที่ภาพ
หาก Double Click ที่เครื่องมือ zoom จะเป็นการขยายภาพให้สู่โหมด 100% อย่างรวดเร็ว

Hand ใช้ในการเลื่อนภาพ ในกรณีที่ภาพมีขนาดใหญ่ ไม่สามารถมองได้ทั่วถึง
หากทำการ Double Click ที่เครื่องมือ Hand จะเป็นการปรับหน้าจอภาพ ให้อยู่ในโหมดพอดีกับกรอบภาพ (Actual Size)




Selection เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการสร้างขอบเขต ซึ่งจะมีให้หลายแบบ ขึ้นอยู่กับงานที่เราต้องการสร้างสามารถ Double Click เพื่อเปิดหน้าต่างควบคุม (Options) ประกอบการทำงาน เช่น กำหนดค่าความฟุ้งของขอบ (Feather) เป็นต้น














Move ใช้ในการย้ายภาพที่เราทำงานอยู่




การปรับขนาดของภาพ


ภาพที่นำมาใช้ประกอบเว็บ ไม่ควรมีขนาดใหญ่เกินไป หากท่านนำภาพมาใช้งาน และพบว่ามีขนาดใหญ่มาก ควรทำการย่อขนาดของภาพด้วย PhotoShop ก่อนนำไปใช้งานจริง ไม่ควรใช้ Attribute Width & Height ใน TAG  ควบคุมขนาด เพราะจะทำให้ การโหลดภาพช้ากว่าปกติ โดยคำสั่งที่ใช้ในการย่อ / ขยายขนาดภาพ คือ Image, Image Size... ซึ่งปรากฏจอภาพทำงานดังนี





















การใช้สี

เครื่องมือแรกที่อยู่ใน Tool Bar ที่เกี่ยวกับสีคือ



เมื่อคลิกเข้าไปใน Foreground/Background Color จะเจอกับ Color Picker เพื่อใช้ในการเลือกสีที่ต้องการ




- คลิกเลือกสีที่ต้องการแล้วกดปุ่ม OK
- สามารถกดที่ปุ่ม Default color เพื่อคืนค่าสีเป็น "ขาว/ดำ"
- สามารถกดปุ่ม Swap color เพื่อกลับค่าสีที่เลือก



เรายังสามารถเลือกสีได้จาก Palette Color และ Swatches โดยการเข้าไปที่เมนู Window / Show Color, Show Swatches



คำสั่งปรับแต่งภาพภาพที่ผ่านการสแกน หรือภาพจากแหล่งอื่นๆ ก่อนนำมาใช้งาน มักจะต้องปรับแต่งสีก่อนเสมอ ด้วยคำสั่ง Image, Adjust


Levels เป็นการปรับความสว่าง-มืดของภาพ โดยการเติมสีขาว-ดำลงไป ซึ่งเราจะใช้กราฟ Histogram ในการปรับระดับสี




กด Alt ค้างไว้ จะเปลี่ยนปุ่ม Cancel เป็น Reset ทำให้กลับไปที่ค่าเริ่มต้น


Auto Levels เป็นการปรับความสว่าง-มืดของภาพ โดยอัตโนมัติ ซึ่งจะคำนึงถึงระดับความสว่างและมืดของสีในแต่ละ Channel


Auto Contrast เป็นการปรับความสว่าง-มืดของภาพ โดยอัตโนมัติ ซึ่งจะคำนึงถึงพื้นที่ที่สวางและมืดของภาพ แล้วปรับให้เห็นความชัดเจนมากยิ่งขึ้น



Curves เป็นการปรับความสว่าง-มืดของภาพ คล้ายกับ Levels โดยการใช้เส้น Curves เป็นตัวกำหนด ซึ่งจะเป็นการเปรียบเทียบระหว่างสีเดิมกับสีใหม่






Color Balance เป็นการปรับแต่งความสมดุลของสีภาพ โดยใช้โหมดสีเป็นตัวกำหนด เช่น CMYK, RGB..


Brightness/Contrast เป็นการปรับค่าความสว่าง-มืด และความแตกต่างของสีโดยรวม



Hue/Saturation เป็นการปรับแต่งโทนสีโดยคำนึงถึงพื้นฐานการมองเห็นของมนุษย์คือ
Hue = ค่าความสะท้อนแสง
Saturation = ความเข้มข้นของสี
Brightness = ความสว่าง-มืด



Desaturate เป็นการเอาค่าสีออกจากภาพให้เหลือแต่สีขาว-ดำ โดยที่โหมดภาพจะยังคงเดิม



Replace Color เป็นการแทนที่สีในภาพด้วยสีใหม่





Channel Mixer เป็นการปรับแต่งโทนสีแต่ละสีโดยใช้โหมดสีเป็นตัวกำหนด เช่น CMYK,RGB

Invert เป็นการปรับสีในภาพให้เป็นสีตรงข้าม


Equalize เป็นการกระจายค่าความสว่าง-มืดของภาพ ให้มีค่าเท่ากัน มักใช้กับภาพที่สแกนมา


Threshold เป็นการเปลี่ยนภาพสี ให้เป็นภาพที่มีแต่สีขาว-ดำ โดยใช้ค่า Threshold เป็นตัวกำหนด


การตัดภาพการนำเอาภาพขนาดใหญ่ มาใส่ในเว็บเพจ ไม่ใช่วิธีที่ดีของการนำเสนอ เพราะจะทำให้การโหลดภาพเสียเวลามาก วิธีที่ดีที่สุด คือ ควรตัดภาพเป็นชิ้นเล็ก แล้วนำภาพมาประกอบกันเป็นชิ้นอีกครั้ง ด้วยเทคนิคการประกอบภาพผ่านเอกสารเว็บ ดังนั้นเนื้อหานี้จะแนะนำการตัดภาพ เป็นส่วนๆ ก่อน เพื่อเป็นแนวทาง และเป็นการเตรียมภาพขั้นต้น ไว้ก่อน

1. เตรียมภาพที่ต้องการ และเปิดไว้บนหน้าต่างการทำงานของ Adobe Photoshop
2. ขยายหน้าต่างภาพ ให้เห็นพื้นที่ว่างรอบภาพ

3. เปิดแถบบรรทัด ด้วยคำสั่ง View, Show Rulers

4. เลือกเครื่องมือ Move Tool 
5. นำเมาส์ไปชี้ในแถบไม้บรรทัด คลิกปุ่มเมาส์ค้างไว้ แล้วลากเมาส์ (กรณีที่ชี้ที่บรรทัดแนวนอน ก็ให้ลากเมาส์ลงมา และกรณีที่ชี้ในไม้บรรทัดแนวตั้ง ก็ให้ลากเมาส์ไปด้านขวา) จะปรากฏเส้นนำสายตา (Guide Line : มักเป็นสีน้ำเงิน)
6. เลื่อนเส้นนำสายตา ไปยังตำแหน่งที่เหมาะสมของภาพ แล้วปล่อยนิ้วจากเมาส์ เพื่อยืนยันตำแหน่

7. หากต้องการตำแหน่งอื่น ก็ทำขั้นตอนที่ 5 - 6 ซ้ำ จนได้ครบทุกตำแหน่ง



8. ถ้าต้องการปรับตำแหน่งของเส้นนำสายตา ที่วางไว้แล้ว ให้นำเมาส์ไปชี้ที่เส้นนั้นๆ จะพบว่า Mouse Pointer มีรูปร่างเป็นลูกศรสองหัว ให้กดปุ่มเมาส์ค้างไว้ แล้วปรับตำแหน่ง

9. ถ้าต้องการลบเส้นนำสายตาเส้นใด ให้นำเมาส์ลากเส้นนำสายตาเส้นที่ต้องการ ไปปล่อยในแถบไม้บรรทัด


10. หากต้องการลบเส้นนำสายตาทุกเส้น ให้เลือกคำสั่ง View, Clear Guides

11. ตรวจสอบว่าภาพมีการกำหนดเป็น Layer หรือไม่ หากเป็น Layer จะต้องทำการรวม Layer ก่อน ด้วยคำสั่ง Layer, Flatten Image

12. เปลี่ยนเครื่องมือเป็น Selection Tools ที่ต้องการ เช่น 

13. กำหนดพื้นที่รอบกรอบที่กำหนดไว้ ทีละกรอบ

14. เลือกคำสั่ง Edit, Copy เพื่อคัดลอกข้อมูลที่เลือก ไว้ใน Clipboard

15. เลือกคำสั่ง File, New เพื่อเปิดพื้นที่งานใหม่ โดยไม่ต้องตั้งค่าใดๆ ให้กดปุ่ม ได้เลย

16. เลือกคำสั่ง Edit, Paste เพื่อวางข้อมูลจาก Clipboard บนหน้าต่างที่เตรียมไว้

17. จัดเก็บงาน ด้วยไฟล์ฟอร์แมตที่ต้องการ

18. ทำขั้นตอนที่ 13 - 17 ซ้ำ กับภาพตำแหน่งอื่น


การใส่ลักษณะพิเศษให้กับข้อความ
ข้อความต่างๆ สามารถเติมลักษณะพิเศษได้ เช่น อักษรนูน, มีเงา เป็นต้น
1. เปิด Layer Palette
2. คลิกเลือกเลเยอร์ที่ต้องการ
3. คลิกที่ปุ่ม Add a Layer Style ด้านล่างของ Layer Palette
4. เลือกรายการ Layer Style ที่ต้องการ
5. ปรากฏหน้าต่าง Layer Style ที่เลือก เช่น เมื่อเลือก Drop Shadow จะปรากฏรายการเลือก ดังนี้





6. ปรับค่าที่ต้องการ สามารถสังเกตผลที่เลือก ได้จากข้อความจริง เมื่อได้ผลที่ต้องการให้คลิกปุ่ม OK

7. การยกเลิก Style ที่เลือก ให้คลิกเอาเครื่องมือถูกออกจากรายการ Style ที่ปรากฏด้านซ้ายมือของหน้าต่าง Layer Style