Join The Community

วันพุธที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2554

Cfosspeed

วิธีเร่งความเร็วอินเตอร์เน็ตให้ถึงขีดสุดด้วย Cfosspeed เวอร์ชั่นภาษาไทย

         โปรแกรมนี้เป็นโปรแกรมที่ดีที่สุด และเป็นที่ยอมรับ ในด้านบริหารจัดการ Traffic Shaping จัดเรียง Bandwidth ให้สามารถใช้ ADSL ได้เต็มสปีด

และตัวนี้เป็นเวอร์ชั่นภาษาไทย ไม่ต้องแครก ไม่ต้องหาคีย์ให้วุ่นวาย จิ้มทีเดียวจบ ดาวน์โหลดคลิ๊กที่นี่คะ  

         สนับสนุนระบบปฎิบัติการ : Windows 7/ Vista / XP + Server 2003 & 2008 [ 32 บิตเท่านั้น ] ( ไม่สนับสนุน MAC และ Linux นะคะ )

1. หลังจากโหลดมาแล้ว แตกไฟล์ .rar ด้วยโปรแกรม Winzip หรือ Winrar


2. ดับเบิ้ลคลิ๊ก install เข้าไป เลือกแบบภาษา Thai ( ภาษาไทยจะอยู่ล่าง ๆ )


3. ระหว่าง install จะมีกรอบแดงขึ้นมา ดังรูปด้านล่าง ให้คุณเลือกคลิ๊ก Install this driver software anyway มันจะถาม ( ประมาณ 1 - 2 ครั้ง )

 4.  พอลงโปรแกรมเสร็จปุ๊บ ให้ Restart เครื่องคุณ 1 รอบ


5. สามารถทดสอบความเร็ว Test Speed ที่เพิ่มขึ้น ได้ที่เว็บนี้ หรือลองเปิดเว็บข้อมูลเยอะ ๆ ดูเช่น Sanook / เปิดดูเว็บ Youtube ว่ามันลื่นขึ้นอย่างที่ผมแนะนำหรือเปล่า ?


6. ถ้าคุณไม่ชอบ unlinstall ออกได้ครับ ไม่มีผลข้างเคียงใด ๆ กับเครื่องคุณอย่างแน่นอน

นี่คือภาพ ก่อนลง และ หลังลงของเครื่องฟางคะ

 [ หลังลง ] ความเร็วเพิ่มขึ้น ทั้งอัพโหลด และดาวน์โหลด ( แถมค่า Ping ก็ลดลงด้วย ทำให้เล่นเกมส์ออนไลน์โดยไม่กระตุก หรือค้าง )


         คุณอาจเห็นว่าปิงลดลงแค่นิดหน่อย ดาวน์โหลด / อัพโหลด ก็เพิ่มขึ้นอย่างละหน่อย แค่เนี๊ยะ !! เหรอ งั้นยกตัวอย่างให้ดูละกันนะ 
         คนอื่นเขาโหลดบิตอยู่ที่ 725 - 765 kbps ( แบบแกว่งขึ้นลง ) ของฟางวิ่งอยู่ที่ 765 - 775 kbps ( แบบนิ่งเสถียร ) ถ้าโหลดหนังซีรีย์ ฟางเสร็จก่อนคุณเป็นชั่วโมงเลยนะ หรือถ้าเล่นเกมส์ออนไลน์ ขณะที่ตัวละครของคุณเข้าเมือง ไปเจอข้อมูลเยอะ ๆ แล้วคุณกระตุก แต่ของฟางยังปรกติ ลื่นปรื๊ด .. 55+ ก็ประมาณนี้คะ


   

What ruin Language



ภาษาไทยวิบัติ? ประเด็นนี้เป็นที่ถกเถียงกันค่อนข้างเยอะในปัจจุบัน เนื่องจากพฤติกรรมในกลุ่มวัยรุ่นส่วนใหญ่ ที่มักจะประดิษฐ์คิดค้นคำใหม่ๆเพื่อสื่อความหมายกันภายในกลุ่ม บางถ้อยคำเป็นคำแผลง ( น้า,เน้,คร่า,แสรด,ชิมิ )  การกร่อนคำ ( เรื่ด,ดีมั่กๆ,กำ,เด๋ว,เท่ว ) การตัดคำ ( กาก,เนียน ) การนำอารมณ์ทางภาษาต่างประเทศมาแทรกในภาษา ( เธอว์, ฮร้าฟ ) คำใหม่ๆจากผู้มีชื่อเสียง ( อีเห็ดสด-โน้ต อุดม, ซะงั้น-น้าเน้ก) ทั้งนี้ เราจะเห็นได้ว่า วัฒนธรรมการใช้ภาษาของวัยรุ่นในยุคนี้ จะแบ่งออกเป็นสองประเภท คือ
1. การตัดคำ แผลงคำ กร่อนคำให้สั้นลง ( กำ เด๋ว เท่ว ) มีจุดประสงค์เพื่อให้มีความสะดวกรวดเร็วในการพิมพ์เพื่อสนทนากับผู้อื่นทางอินเตอร์เน็ต
2. การเพิ่มคำ,วรรณยุกต์ (เธอว์, ฮร้าฟ,คร่า ) มีจุดประสงค์ในการแสดงอารมณ์ที่ชัดเจนมากขึ้นในถ้อยคำนั้นๆ
                  และจากสถานการณ์ปัจจุบัน เราจะเห็นได้ว่า จะมีกลุ่มคนสองกลุ่มที่มีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องภาษาวิบัติ แน่นอนว่ากลุ่มแรกคือกลุ่มวัยรุ่นผู้ใช้ภาษา และอีกกลุ่มหนึ่ง คือ ผู้ใหญ่ ซึ่งมันเรื่องที่ปกติมากที่สองกลุ่มนี้จะมองอะไรต่างกัน ไม่ใช่แค่เพียงเรื่องภาษาวิบัติ แต่ปัญหาสำคัญอยู่ที่ว่า
การใช้ภาษาวิบัตินั้นผิดตรงไหน?
                      พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ให้ความหมายของคำว่า “ ภาษา ” ไว้ว่า “ ภาษา คือ เสียงหรือกิริยาอาการที่ทำความเข้าใจกันได้ คำพูด ถ้อยคำที่ใช้พูดกัน
รวมถึง วิไลวรรณ ขนิษฐานันท์ ได้กล่าวถึงลักษณะสำคัญๆ อันเป็นคุณสมบัติของภาษา สรุปได้ดังนี้ (วิไลวรรณ ขนิษฐานันท์ 2526 : 2)

1. ภาษาประกอบขึ้นด้วยเสียงและความหมาย โดยนัยของคุณสมบัตินี้ ภาษาหมายถึงภาษาพูดเท่านั้น ไม่รวมถึงภาษาเขียน ภาษาเขียนเป็นเพียงสิ่งประดิษฐ์ที่มนุษย์ใช้บันทึกภาษาพูด

2. ภาษาเป็นเรื่องของสัญลักษณ์ ซึ่งต้องมีการเรียนรู้จึงจะเข้าใจได้ว่าสัญลักษณ์นั้นมีความหมายว่าอย่างไร

3. ภาษามีระบบ เช่น การเรียงลำดับเสียง หรือการเรียงลำดับคำในประโยค การจะใช้ภาษาให้ถูกต้องจึงต้องเรียนรู้ระเบียบและกฎของภาษานั้นๆ

4. ภาษามีพลังงอกงามอันไม่สิ้นสุด จากจำนวนเสียงที่มีอยู่ ผู้พูดสามารถผลิตคำพูดได้ไม่รู้จบ เราจึงไม่อาจนับได้ว่าในภาษาหนึ่งๆ มีจำนวนคำเท่าใด
                    วิเคราะห์จากคุณสมบัติข้อที่ 1 ของภาษา เราจะเห็นได้ว่า ภาษาวิบัติในปัจจุบัน แทบจะทั้งหมดเป็นภาษาเขียน ไม่ใช่ภาษาพูด นั่นเป็นเพราะการสื่อสารผ่านคอมพิวเตอร์และมือถือ ซึ่งเราจะเห็นได้ว่า ภาษาวิบัติในสมัยก่อน ( ก่อนยุคที่มีคอมพิวเตอร์ ) จะมีจำนวนน้อยกว่าภาษาวิบัติในปัจจุบัน แต่หากมองให้ลึกไปกว่านั้น ภาษาวิบัตินั้นมีทุกยุคทุกสมัย แต่สาเหตุสำคัญคืออินเตอร์เนต ที่มีผลให้ภาษาวิบัติในปัจจุบันที่ใช้สนทนากันในกลุ่มเล็กๆ กระจายไปเป็นวงกว้างทั่วทั้งประเทศ และในข้อที่ 4 ได้อธิบายปรากฏการณ์การใช้ภาษาวิบัติได้เป็นอย่างดี นั่นเพราะ "จากจำนวนเสียงที่มีอยู่ ผู้พูด(หรือเขียน) สามารถผลิตคำพูด(เขียน)ได้ไม่รู้จบ" ยิ่งภาษาไทยเป็นภาษาที่มีจำนวนวรรณยุกต์ สระ ค่อนข้างมาก ทำให้เราสามารถสร้างคำใหม่ๆขึ้นมาได้อย่างต่อเนื่อง และนี่ก็เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เกิดภาษาวิบัติขึ้นในปัจจุบัน
                    กลับมาที่คำถามที่ว่า การใช้ภาษาวิบัตินั้นผิดตรงไหน? ในมุมมองของผมมันไม่ใช่เรื่องผิด เพราะภาษาเป็นเพียงสัญลักษณ์ที่สมมติความหมาย และมันก็ไม่ใช่ปัญหา ผมออกจะมองว่ามันเป็นวัฒนธรรมที่ค่อนข้างน่ารักของคนในยุคนี้ด้วยซ้ำ ( รวมถึงการใช้อีโมคอน ^o^ -o- *o* ซึ่งจะไม่ขอกล่าวถึงในบทความนี้ ) แต่ปัญหาสำคัญอยู่ที่ไหน? ผมมองว่าปัญหาสำคัญ คือการที่วัยรุ่นในปัจจุบัน ไม่มีความรู้เรื่องหลักภาษาไทย และไม่มีพื้นฐานทางภาษาที่ดีพอ ( นี่เป็นปัญหาใหญ่ของสังคมไทย ที่เรามักจะแสวงหาสิ่งใหม่ๆ โดยไม่สนใจรากฐานที่มีอยู่แต่เดิม ) การแหวกขนบ แหวกกฏเกณฑ์ต่างๆ ผมคิดว่าเราจำเป็นจะต้องเรียนรู้และเข้าใจกฏเกณฑ์นั้นๆให้ดีเสียก่อน เปรียบเสมือการต่อเติมอาคาร ถ้าอาคารนั้นมีรากฐานที่ดี การต่อเติมก็จะกระทำได้โดยไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าอาคารนั้นมีรากฐานที่ไม่ดี เมื่อเราต่อเติมอะไรเข้าไป ก็อาจจะทำให้อาคารนั้นพังลงมาได้ นี่แหละคือสิ่งที่เป็นปัญหาในเรื่องการใช้ภาษาวิบัติในสังคมไทย
                      ภาษาวิบัติเป็นสิ่งที่สะท้อนปัญหาใหญ่ของสังคมไทย นั่นคือการมุ่งแสวงหาสิ่งใหม่ โดยละทิ้งสิ่งที่เคยมีอยู่ หากปล่อยไว้เช่นนี้ต่อไป ถามว่ามันส่งผลต่อการดำรงชีวิตของเรามากไหม? ก็ไม่หรอกครับ เราก็ไม่ได้อดตาย หรือต้องทำสงครามกันเพราะภาษาวิบัติ แต่ผลที่ตามมาจากการละทิ้งรากฐานของตนเอง คือการมีอนาคตที่ไม่มั่นคง และการถูก"กลืนชาติ"จากวัฒธรรมในยุคโลกาภิวัฒน์ เราอาจจะแค่สูญเสียภาษาไทยที่สวยงาม เหลือเพียงภาษาน่ารักๆ ( คริคริ ) เราอาจจะแค่สูญเสียดนตรีไทย สูญเสียวัฒนธรรมต่างๆ และรากฐานของคนไทยที่เคยมีอยู่ ( ซึ่งในความเป็นจริงก็เสียไปเยอะมากแล้ว )
                       สุดท้ายนี้ คุณจะมองว่าการใช้ภาษาวิบัติเป็นปัญหาหรือไม่ ก็อยู่ที่มุมมองของแต่ล่ะคน คุณอาจไม่เสียดายภาษาสวยงามเก่าๆที่เคยมีอยู่ ก็ไม่เป็นไร
                       นั่นเพราะการกระทำเหล่านี้ ไม่ได้ทำให้คุณอดตายซะหน่อย ชิมิ?

How to use Flash

การทำ Flash 
การทำ Flash เขียนหนังสือ บทความนี้เหมาะำสำหรับ ผู้ที่จะทำ E-learning หรือ สอนการวาดรูป นะครับ ม่ะ!!! เริ่มทำกันเลยดีกว่าครับ
1. วาดภาพดินสอหรือปากกาเตรียมไว้ก่อนเลยครับ (หรือไม่ต้องการก็ไม่ต้องทำก็ได้นะครับ)




2. เปิดเอกสาร Flash เตรียมภาพขึ้นมา  แนะนำให้ Frame rate ให้เป็น 25 ขึ้นไปนะครับ เพื่อความไหลลื่นของภาพ แต่มากไปก็ไม่ดีนะครับเพราะภาพจะเร็วเกินไป ผมใช้ 27 ครับ

 


3. พิมพ์อักษรหรือวาดภาพลงบนเอกสาร ผมใช้การพิมพ์ตัวอักษรนะครับ 

 

3.1 สำหรับคนที่พิมพ์ตัวอักษรโดยเฉพาะครับให้ทำการ Break Apart โดยการไปที่ Modify > Break Apart หรือ กด Ctrl+B ก่อน สังเกตุว่าเมื่อทำการ Break Apart เสร็จแล้ว กรอบ สี่เหลี่ยมรอบตัวอักษรจะหายไปนะครับ




4. Insert Layer ขึ้น มาแล้ว ไปเลือกสี ที่ Colors ไม่ต้องสนใจว่าจะเป็นสีอะไรนะครับเพราะมันไม่เห็นแน่ๆ อยู่แล้ว แต่ควรเลือกสีที่ทำให้มองง่าย ในขั้นตอนการทำไม่ควรใช้สีเดียวกันกับ ตัวกอักษรหรือภาพ เพราะจะทำให้ งง เอง นะครับ
 

5. เตรียมเครื่องมือ  Brush Tool (B) แล้ว ไปที่ Layer 1 Insert Frames ให้มันไกลๆ ไปก่อน ลองกะดู ว่ามันจะอยู่ใกล้ไกล แค่ไหนนะครับ จากนั้นไปที่ Layer 2 Insert Framesให้มันไกลๆเท่ากับ Layer 1 กลับกลับมาที่ Frames 1 กด Insert Key Frames 1 ครับแต้ม จุด Brush Tool 1 ครั้ง ทำแบบนี้ซ้ำๆกันไปเรื่อยๆ กับ อักษรหรือรูปภาพของคุณ 

 









** สำหรับการ  Insert Key Frames  กด F6 เอาก็ได้ ครับ ไม่ต้องไปคลิกขวาที่ Frames เสมอไป



เมือถึงขั้นตอนนี้ สมมุติว่า Insert Key Frames และแต้มจุดกันเสร็จแล้วนะครับถ้า Frames ที่ Layer 2 ยาวไม่ถึงที่ Layer 1 มี ก็ ลบ Frames 1 ส่วนที่เกินทิ้งนะครับ(แบบรายการทำอาหารใน TV อ่ะครับ "สมมุติว่า ครับ 1 ชม. แล้วนะครับ" อะไรประมาณนะ)  จะได้ภาพแบบนี้ครับ

6. ขั้นตอนต่อไปก็ไม่ยากครับไปที่ Layer ที่ 2 คลิกขวา กด Mask  
 

Ruin Language

 


ภาษาวิบัติ  คือ คำพูดที่ไม่ได้รับการยินยอมให้ใช้ทั่วไปในระดับสากล หากแต่ใช้พูดกันเองในกลุ่มเพื่อนฝูงหรือในกลุ่มวัยรุ่น โดยมักจะได้รับการต่อต้านจากผู้หลักผู้ใหญ่ในสังคมอยู่เสมอ  
คำนิยาม 
ภาษาวิบัติ  คือ ภาษาที่ถูกแปลงมาจากคำในภาษาเดิม ให้สามารถเขียนได้ในรูปลักษณ์ใหม่ ซึ่งโดยส่วนใหญ่ภาษาวิบัตินี้มักจะผิดหลักในการเขียนอยู่เสมอ 
ถ้าจะให้แยกแยะได้ง่ายๆ คำที่ไม่อยู่ในพจนานุกรม และไม่เป็นไปตามกฏของหลักภาษาไทยโดยส่วนใหญ่จะเป็นภาษาวิบัติ 
คำวิพากษ์วิจาณ์
ภาษาวิบัติไม่ใช่สิ่งที่ไม่ดีเสมอไป บางครั้งมันก็เป็นสิ่งที่ดี เพราะภาษาไม่ตาย ดังนั้นจึงต้องมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
จะ บ้าเรอะ! ภาษาวิบัติมันก็บอกอยู่แล้วว่า "วิบัติ" ไม่ใช่ "วิวัฒนาการ" วิวัฒนาการมันคือการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีกว่า ส่วนวิบัติคือการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่แย่
ถ้าเปรียบภาษาเหมือนรูปภาพ การวิวัฒนาการคือการที่ศิลปินชื่อดังผู้รัก และเข้าใจการวาดภาพมาเขียนภาพต่อๆกัน
ส่วนภาษาวิบัติ คือการที่ใครก็ไม่รู้ผู้ที่ไม่รู้ความสำคัญของการวาดมาเขียนภาพต่อจากเรา
เมื่อก่อนไม่มีพจนานุกรม มันก็เป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่จะเกิดภาษาวิบัติ หรือการวิวัฒนาการของภาษาขึ้น
แต่เมื่อมันมีแล้ว แล้วเราจะแกล้งโง่ทำให้มันเปลี่ยนไปทำไมล่ะ?
เพราะคนเรามีสมองมีจินตนาการสร้างสรรค์ได้ แล้วพจนานุกรมก็ไม่ใช่กฏ
แม้ พจนานุกรมไม่ใช่กฏ แต่มันเป็นหลักที่สมควรจะปฏิบัติ คล้ายกับระเบียบ ข้อแนะนำ หรือจรรยาบรรณ คุณไม่ต้องทำตามก็ได้ แต่มันจะดีกว่าถ้าคุณทำตาม
ความ คิดสร้างสรรค์ใช้กับความคิดที่ดี แต่ถ้าเป็นความคิดที่ไม่ดี ความคิดที่แย่ ความคิดที่เสื่อม หรือมาจากความขี้เกียจ มันไม่ได้เรียกว่าความคิดสร้างสรรค์หรอก มันเป็นความคิดหรือไอเดียที่ไม่สร้างสรรค์
บางครั้งภาษาวิบัติก็ทำให้คำนั้นๆ ดูจะรุนแรงน้อยลง เช่น อ้ายสาดดด -> ไอ้สัตว์
นักปราชญ์ผู้หนึ่งกล่าวไว้ว่า "ผู้ใดละทิ้งภาษา...ผู้นั้นย่อมละทิ้งวัฒนธรรม...ผู้ใดละทิ้งวัฒนธรรม...ผู้ นั้นย่อมละทิ้งทุกสิ่ง"
เหตุผล(และข้อแก้ตัว)ของพวกที่ใช้ภาษาวิบัติ
1.             เพราะ ว่าคำพวกนี้พิมพ์ได้ง่าย เข้าใจนะว่า คำภาษาไทยหลายๆคำอาจจะพิมพ์ยุ่งยากมากเรื่อง ดังเช่น คำว่า เดี๋ยว ก็เปลี่ยนเป็น เด๋ว และคำว่า ก็ ก็เปลี่ยนเป็น ก้อ เหตุผลเหรอ มันพิมพ์ง่ายไงล่ะแต่คุณอาจจะไม่รู้หรอกนะว่า คุณกำลังทำลายภาษาไทย โดยไม่รู้ตัว
2.             เคย มีวัยรุ่นคนหนึ่ง เคยให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับภาษาวิบัติว่า ที่หันมาใช้ก็เพราะมันดูแนวๆดี ทันสมัย ถูกใจวัยรุ่น ก็เลยถามว่ามันแนวตรงไหน คำตอบที่ได้มาคือ "ก็มันดูเหมือนว่าเด็กไทยมีความคิดสร้างสรรค์ สามารถคิดค้นคำใหม่ๆได้ขึ้นมาใช้ โดยไม่ต้องเขียนของเก่าให้มันเปลืองหมึก หรือ พิมพ์ให้มันเมื่อย"ก็ ฟังแล้วคิดว่า มันก็สะดวกสบายแต่ว่า ความสะดวกสบายของคุณกำลัง เป็นความกลุ้มใจของ พ่อขุนรามคำแหง อยู่ เพราะว่า พ่อขุนรามคำแหง ท่านอุตส่าห์คิดค้นภาษาไทยขึ้นมา แต่รุ่นหลังมาทำลาย อย่างที่เค้ากล่าวน่ะแหล่ะว่า "ผู้ใหญ่สร้าง วัยรุ่นทำลาย"
3.             เพื่อ แสดงอารมณ์ ว่าตอนนี้กำลัง ผิดหวังหรือเบื่อหน่าย อย่างที่วัยรุ่นเค้าเรียกกันว่า"เซ็ง"น่ะแหล่ะ เพราะบางทีถ้าผิดหวังก็อาจจะลากเสียงคำว่า "ไม่" เป็น "ม่าย..ย..." ถ้าอารมณ์ดีก็อาจจะสั้นหน่อยเป็น "มั่ย"
4.             " ก็มันขำๆดีนี่"เหตุผล นี้ฉันก็ไม่รู้หรอกนะที่ว่า"ขำๆ"น่ะหมายความว่าอะไร แหม...พวกคุณนี่ ถ้าจะอารมณ์ดีเหลือเกิน คิดคำที่เป็นภาษาวิบัติมาใช้กันเนี่ย ป่านนี้พ่อขุนรามคำแหงคงนั่งขำไม่ออกแล้วล่ะ
5.             " ไม่เห็นเป็นไรเลย มันก็อ่านเหมือนๆกันแหละ"ฉัน อยากจะบอกพวกคุณว่ามันอ่านเหมือนกันก็จริงนะ แต่คอมพิวเตอร์มันต้องใช้ตาอ่านไม่ใช่หูฟังนะ ถ้าเกิดมีเด็กมาอ่านและนำไปใช้เนี่ย นำไปเขียนเนี่ย ถ้าเป็นยังงี้จริงๆนะ ภาษาไทยจะเพี้ยนไปหมดแน่ๆ เชื่อพี่เถอะ
6.             "ก็มันเผลอนี่นา"หลายคนอาจพูดยังงี้ อยากถามว่า ถ้าคุณไม่คิดค้นมันมาและใช้มัน คุณจะเผลอได้เหรอ?
7.             "ก็คำมันดูน่ารักนี่คะ"อยากรู้ว่ามันน่ารักตรงไหนคะเนี่ย? ตายๆๆ...ถ้าคนมองเป็นภาษาที่น่ารักหมดเนี่ย สงสัยว่าคงต้องร้องเพลง"ไปน่ารักไกลๆหน่อย"ซะแล้ว
8.             " ก็เวลาเล่นMSNมันพิมพ์เร็วทันใจนี่คะ"รู้แล้วค่ะมันเร็วแต่ว่า...ถ้ามันไม่ ใช่ภาษาวิบัติมันก็ไม่เสียเวลาเป็นชั่วโมงหรอกค่ะ แค่เสียเวลาเล็กๆน้อยๆเพื่ออณุรักษ์แค่นี้ถึงกับทำไม่ได้เลยเหรอคะ?
9.             " ก็มันเพิ่งหัดพิมพ์ยังพิมพ์ไม่คล่องนี่"อันนี้ไม่ว่านะคะ แต่ถ้าคล่องแล้ว ควรจะพิมพ์คำให้ถูกนะ บางคนไม่คล่อง ก็ไม่คล่องตลอดกาล ใช้ไม่ได้
10.      พิมพ์ให้มันดูสั้นลงเพราะเปลืองเนื้อที่อยากถามอีกว่าคุณซื้อเนื้อที่ในการพิมพ์หรือไงถึงต้องประหยัดเนื้อที่?
11.      " ทันสมัยดีนี่...คนที่เขาใช้คำเป็นคงไม่วิปริตมาใช้หรอก บางทีพวกคนที่ใช้คำเป็นคงเล่นแชทไม่เป็นหรอก"อันนี้มาจากความคิดเห็นชาว Yenta4เลยค่ะ  ข้อนี้ลองคิดเองนะคะ เพราะมันไม่มีอะไรจะพูดแล้ว
12.      " มันดูสบายๆไม่เป็นทางการดีนี่"อยาก ถามว่ามันสบายตรงไหนคะ อ๋อ...รู้แล้วๆ...มันสื่ออารมณ์สบายๆเหรอคะ...พวกคุณคงคิดนะว่าภาษาทางการ นี้คงเครียดมากเลยใช่ไหม?ถามตัวเองดูนะคะ
13.      " ก็พอใจนี่/ก็จะพิมพ์ยังงี้พวกเธอมีสิทธิ์ห้ามเหรอ"
14.      ค่ะ...ไม่มีสิทธิ์ห้ามใดๆ หรอกสิ่งพวกนี้มันอยู่ที่ตัวคุณค่ะ กิริยาส่อภาษา วาจาส่อนิสัย
อาทิเช่น
"อารัย" = อะไร ไม่ใช่ อาลัย
"ที่นั้น" = ที่นั่น เป็นการผันวรรณยุกต์ที่ผิด
"นะค่ะ" = นะคะ ผันวรรณยุกต์ผิดเช่นกัน
"คับผม" = ครับผม อาจเกิดจากการรีบพิมพ์ ขอให้ออกเสียงได้เป็นพอ
"หรอ" = เหรอ ไม่ใช่ หรอจาก "ร่อยหรอ"
"แร้ว" = แล้ว ไม่ใช่ "แร้ว" ที่แปลว่ากับดักนก
"งัย" = ไง
"ครัย" = ใคร
"เกมส์" = เกม ไม่ต้องเติม ส์
"เดล" = เป็นคำภาษาอังกฤษจากคำว่า "Deal" อ่านว่า "ดีล"
"สาด" = สัตว์ เป็นศัพท์วัยรุ่น ลากเสียงให้ยาวขึ้นเพื่อเลี่ยงระบบกรองคำหยาบ
"กวย" = เช่นเดียวกับคำด้านบน เปลี่ยนพยัญชนะเพื่อเลี่ยงระบบ
"ไฟใหม้" = ไฟไหม้
"หวัดดี" = สวัสดี ไม่ใช่ การเป็นหวัดเป็นเรื่องที่ดี
"สำคัน" = สำคัญ บางทีอาจจำสลับกับ "สังคัง" ที่เป็นโรคผิวหนังชนิดหนึ่ง
"หน้ารัก" = น่ารัก ไม่ใช่ รักเพราะหน้า
"ฆ้อน" = ค้อน ผู้ใช้อาจสับสนกับ "ฆ้อง" ที่เป็นเครื่องดนตรี
"สัสดี" = ทหารยศหนึ่ง เข้าใจว่าพิมพ์ผิดจากคำว่า "สวัสดี"
         "555" = เสียงหัวเราะ มาจาก"ฮ่าๆๆ" ดัดแปลงมาเป็น"ห้าห้าห้า"  


Ruin Language

          

          ภาษาวิบัติเป็นภาษาที่มาจากคำศัพท์ที่ถูกพิมพ์และเขียนอย่างผิดเพี้ยนไปจากที่ควรจะเป็น ส่วนใหญ่แล้ว ภาษาวิบัติ จะมีการนิยมใช้กันในหมู่วัยรุ่น และผู้ที่ติดต่อสื่อสารออนไลน์กันผ่านทางโลกอินเตอร์เน็ต มักจะพิมพ์ภาษาวิบัติเพราะมีความเชื่อที่เข้าใจกันว่า พิมพ์ง่าย เขียนง่าย ดูแปลกตา และเป็นที่น่าสนใจ ซึ่งนั่นถือเป็นความเชื่อที่ผิดเพี้ยนไปอย่างสิ้นเชิง นอกจากจะไม่ควรทำแล้ว ยังมีผลเสียที่ตามมาอีกหลายประการ ยกตัวอย่างเช่น

1.     -  ทำให้ภาษาผิดเพี้ยน และอาจจะทำให้ภาษาที่ถูกต้องหายไป
2.     -  ทำให้เกิดความมักง่ายเพิ่มมากขึ้น
3.     -  หากมีการพิมพ์หรือเขียนงานจริงๆ อาจจะทำให้พิมพ์ผิดไปเพราะสืบเนื่องมาจาก
          ความเคยชินของการพิมพ์ภาษาวิบัติ
4.     -  ความงดงามและความถูกต้องของภาษาจะหายไป
5.     -  ทำให้ผู้ที่สื่อสารด้วยกันบางท่านเกิดความไม่เข้าใจ หรือเข้าใจผิดได้
6.     -  คุณค่าของภาษาลดลง

             แต่ในปัจจุบันนี้ก็ได้มีการรณรงค์ การใช้ภาษาไทยให้ถูกต้องกันอย่างแพร่หลาย ผู้คนก็เริ่มให้ความสนใจและให้ความสำคัญกับการใช้ภาษาไทยอย่างถูกต้องอยู่หลายกลุ่มกันเลยทีเดียว โดยมีการรณรงค์ออกสื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ หรือป้ายประกาศต่างๆ ซึ่งถือได้ว่าเป็นพัฒนาการของการรณรงค์การใช้ภาษาไทยให้ถูกต้องได้อย่างดีเลยทีเดียว

Ruin Language


ภาษาวิบัติ


ป็นคำเรียกของการใช้ภาษาไทยที่มีการเปลี่ยนแปลง และไม่ตรงกับกับภาษามาตรฐานตามหลักภาษาไทยในด้านการสะกดคำ คำว่า 'ภาษาวิบัติ' ใช้เรียกรวมถึงการเขียนที่สะกดผิดบ่อยรวมถึงการใช้คำศัพท์ใหม่หรือคำศัพท์ที่สะกดให้แปลกไปจากคำเดิม
ในประเทศไทยมีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงปัญหาเด็กไทยขาดการศึกษารวมถึงปัญหาภาษาวิบัติทำให้เด็กไทย ไม่สามารถใช้ภาษาไทยได้มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร ในขณะเดียวกันได้มีการใช้คำว่าภาษาอุบัติแทนที่ภาษาวิบัติที่มีความหมายในเชิงลบ โดยภาษาอุบัติหมายถึงภาษาที่เกิดขึ้นมาใหม่ ตอบสนองวัฒนธรรมย่อย เช่นเดียวกับภาษาเฉพาะวงการที่เป็นศัพท์สแลง
คำว่า "วิบัติ" มาจากภาษาบาลี มีความหมายถึง พินาศฉิบหาย หรือความเคลื่อนทำให้เสียหาย

ภาษาที่วิบัติมาจากการใช้ภาษาของกลุ่มวัยรุ่น  ไม่ว่าจะเป็นการสนทนา เขียนหนังสือ ส่งข้อความ สนทนาผ่านอินเตอร์เน็ท หรือที่เรียกกันว่าการ Chat โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้คำบางคำสั้นลง หรือเพื่อเพิ่มเติม เสริมแต่งให้คำที่พวกเขาใช้กันดูมีความเก่ไก๋ ไฮโซ แนว ซึ่งภาษาเหล่านี้เกิดมาจากการตั้งขึ้นมาเองใหม่ หรือการผสมผสานคำเองระหว่างภาษาต่างๆ ฟังแล้วไม่มีความหมายในพจนานุกรม แต่รู้เรื่องกัน คิดว่าภาษาวัยรุ่นเป็นภาษาที่ไม่สิ้นสุด เพราะวัยรุ่นจะคิดคำแปลกๆใหม่ๆมาใช้กันมากขึ้นในปัจจุบัน จนบางครั้งผู้ฟังที่เพิ่งได้ยินอาจจะไม่เข้าใจถึงความหมายที่แท้จริง เช่นคำว่า ฉัน"โต๊ะ"เธอ ก็หมายถึง ฉันรักเธอ นอกจากนั้นวัยรุ่นมักจะใช้ภาษาที่เป็นคำผวนมาพูดกัน เช่น" รูเยิ๊บ" หมายถึง "เลิฟยู" หรือฉันรักคุณนั่นเอง

Emotical คือพัฒนาการจริงหรือ?  เป็น ประเด็นที่ต้องถกเถียงกันอย่างจริงจังในวงวรรณกรรมไทย กับภาษาสื่อสารยุคใหม่ที่เรียกกันว่า "Emotical"ต้นกำเนิดของมัน มาจากสัญลักษณ์ที่ใช้แสดงอารมณ์แทนผู้พูด สามารถหาได้ตามเวปบอร์ด แชทรูม และ MSN
ตัวอย่างเช่น
: ) = ยิ้ม

XD = ยิ้มดีใจสุดๆ
; ) = ยิ้มขยิบตา
-_- = ทำหน้าตาเบื่อโลก
-_-; = ทำหน้าตาเบื่อโลกและเหงื่อตก
-_-; ,,|,, = ทำหน้าตาเบื่อโลก เหงื่อตกและชูนิ้วกลาง
OTL = ลงไปนั่งคุกเข่าอย่างท้อแท้
orz = เหมือนข้างบน แต่ตัวจะเล็กกว่า
/gg = giggle หรือหัวเราะขำขัน
olo = อวัยวะเพศชาย
[๐ ๐] = C = เมก้าซาวะ 

เหล่านั้นคือตัวอย่างของภาษา Emotical ซึ่งเป็นที่คุ้นเคยของวัยรุ่น เราสามารถพบเห็นมันได้ในฟอร์เวิร์ดเกม ออนไลน์ แมสเสจมือถือ หรือแม้กระทั่งวรรณกรรมที่ขายตามร้านหนังสือ ปัจจุบันนั้นยังคงมีการถกเถียงและยอมรับภาษา Emotical กันอยู่ ว่าสมควรแล้วหรือยังที่จะนำมาใช้ในวรรณกรรมให้คนทั่ว ไปอ่าน ถ้าหากมองในแง่ของวัฒนธรรมแล้ว Emotical ก็นับเป็นมิติใหม่ของภาษาที่ถูกใช้ไปทั่วโลกหากจะว่ากันตามจริงแล้วมันถือ เป็นวัฒนธรรมของโลกยุคใหม่เลยทีเดียว แต่หากมองในแง่ของความผิดเพี้ยนแล้วนั้น ก็ย่อมเป็นเรื่องใหญ่ที่สั่นคลอนรากฐานภาษาดั้งเดิมของประเทศ
         ภาษา เป็นส่วนหนึ่งที่แสดงออกถึงความเป็นเอกราชของประเทศนั้นๆ หากการรับเอาภาษาอื่นมาใช้งานนั้นทำให้คนขาดจิตสำนึกในภาษาแม่แล้ว มันอาจจะกลายเป็นความหายนะของภาษาในเร็ววัน
ดั่งหลักการ "เปลี่ยนแปลงแต่ไม่เปลี่ยนไป" การเปลี่ยนแปลงไม่ใช่เรื่องแย่ แต่การเปลี่ยนไป เป็นเรื่องที่น่ากลัว ภาษาไทย ไม่ใช่ภาษาที่ตายแล้ว หากแต่เป็นภาษาที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ให้สวยงามได้ เสมอ  หากการรับนำข้อดีของ Emotical มาใช้ให้ถูกที่ถูกกาลเป็นเรื่องที่สมควร การใช้ภาษาให้ถูกต้องตามหลักภาษาก็ย่อมเป็นเรื่องที่ ต้องกระทำตั้งแต่ตอน นี้ 


สุดท้ายนี้
การเขียนภาษาไทยผิดๆ ถือเป็นคนละประเด็นกับการ(ตั้งใจ?)ใช้ภาษาไทยแบบวิบัติๆเพราะการเขียนคำผิดนี่เกิดจากความเข้าใจผิด หรือรับรู้มาผิดๆ เท่านั้นเอง แก้ไขได้ไม่ยากโดยวิธีแก้ก็แค่หัดเขียนบ่อยๆ ให้มันถูก


C : News Story 

วันอังคารที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2554

Web blog



Blog คืออะไร


มารู้จักความหมาย ของประโยคคำถาม ที่มักจะมีคนถามผมบ่อย ๆ เวลาไปบรรยายตามที่ต่าง ๆ ว่า “Blog คืออะไร” กันดีกว่าครับ
Blog มาจากศัพท์คำว่า WeBlog บางคนอ่านคำ ๆ นี้ว่า We Blog บางคนอ่านว่า Web Log แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ทั้งสองคำบ่งบอกถึงความหมายเดียวกัน ว่านั่นคือบล็อก (Blog)
ความหมายของคำว่า Blog ก็คือการบันทึกบทความของตนเอง (Personal Journal) ลงบนเว็บไซต์ โดยเนื้อหาของ blog นั้นจะครอบคลุมได้ทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวส่วนตัว หรือเป็นบทความเฉพาะด้านต่าง ๆ เช่น เรื่องการเมือง เรื่องกล้องถ่ายรูป เรื่องกีฬา เรื่องธุรกิจ เป็นต้น โดยจุดเด่นที่ทำให้บล็อกเป็นที่นิยมก็คือ ผู้เขียนบล็อก จะมีการแสดงความคิดเห็นของตนเอง ใส่ลงไปในบทความนั้น ๆ โดยบล็อกบางแห่ง จะมีอิทธิพลในการโน้มน้าวจิตใจผู้อ่านสูงมาก แต่ในขณะเดียวกัน บางบล็อกก็จะเขียนขึ้นมาเพื่อให้อ่านกันในกลุ่มเฉพาะ เช่นกลุ่มเพื่อน ๆ หรือครอบครัวตนเอง
มีหลายครั้งที่เกิดความเข้าใจกันผิดว่า Blog เป็นได้แค่ไดอารี่ออนไลน์ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไดอารี่ออนไลน์เปรียบเสมือน เนื้อหาประเภทหนึ่งของบล็อกเท่านั้น เพราะบล็อกมีเนื้อหาที่หลากหลายประเภท ตั้งแต่การบันทึกเรื่องส่วนตัวอย่างเช่นไดอารี่ หรือการบันทึกบทความที่ผู้เขียนบล็อกสนใจในด้านอื่นด้วย ที่เห็นชัดเจนคือ เนื้อหาบล็อกประเภทท วิจารณ์การเมือง หรือการรีวิวผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ตัวเองเคยใช้ หรือซื้อมานั่นเอง อีกทั้งยังสามารถ แตกแขนงไปในเนื้อหาในประเภทต่าง ๆ อีกมากมาย ตามแต่ความถนัดของเจ้าของบล็อก ซึ่งมักจะเขียนบทความเรื่องที่ตนเองถนัด หรือสนใจเป็นต้น
จุดเด่นที่สุดของ Blog ก็คือ มันสามารถเป็นเครื่องมือสื่อสารชนิดหนึ่ง ที่สามารถสื่อถึงความเป็นกันเองระหว่างผู้เขียนบล็อก และผู้อ่านบล็อกที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย ที่ชัดเจนของบล็อกนั้น ๆ ผ่านทางระบบ comment ของบล็อกนั่นเอง
ในอดีตแรกเริ่ม คนที่เขียน Blog นั้นยังทำกันในระบบ Manual คือเขียนเว็บเองทีละหน้า แต่ในปัจจุบันนี้ มีเครื่องมือหรือซอฟท์แวร์ให้เราใช้ในการเขียน Blog ได้มากมาย เช่น WordPress, Movable Type เป็นต้น
ผู้คนหลายล้านคนจากทั่วทุกมุมโลก หันมาเขียน Blog กันอย่างแพร่หลาย ตั้งแต่นักเรียน อาจารย์ นักเขียน ตลอดจนถึงระดับบริษัทยักษ์ใหญ่ในตลาดหุ้น NasDaq
เมื่อสองสามปีที่ผ่านมา Blog เริ่มต้นมาจาก การเขียนเป็นงานอดิเรก ของกลุ่มสื่ออิสระต่าง ๆ หลาย ๆ แห่งกลายเป็นแหล่งข่าวสำคัญ ให้กับหนังสือพิมพ์หรือสำนักข่าวชั้นนำ จวบจนกระทั่งปี 2004 คนเขียน Blog ก็ได้รับการยอมรับจากสื่อและสำนักข่าวต่าง ๆ ถึงความรวดเร็วในการให้ข้อมูล ตั้งแต่เรื่องการเมือง ไปจนกระทั่ง เรื่องราวของการประชุม ระดับชาติ
และจากเหตุการณ์เหล่านี้ นับได้ว่า Blog เป็นสื่อชนิดหนึ่งที่ไม่ต่างจาก วีดีโอ , สิ่งพิมพ์ , โทรทัศน์ หรือแม้กระทั่งวิทยุ เราสามารถเรียกได้ว่า Blog ได้เข้ามาเป็นสื่อชนิดใหม่ ที่สำคัญอย่างแท้จริง
สรุปให้ง่าย ๆ สั้น ๆ ก็คือ Blog คือเว็บไซต์ ที่มีรูปแบบเนื้อหา เป็นเหมือนบันทึกส่วนตัวออนไลน์ มีส่วนของการ comments และก็จะมี link ไปยังเว็บอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องอีกด้วย

Ruin Language Ver. Thai

สุดยอดมหา"ภาษาวิบัติ"สุดชีวิต :: หนังสือเรียนภาษาไทยเวอร์ชั่นติ่ง+เกรียน
เชื่อว่าหลายๆคนคงอ่านไม่จบ (เพราะทนอ่านต่อไปไม่ไหว)ส่วนตัวคิดว่าคนทำก็คงแค่ต้องการประชด
ว่าเด็กไทยที่ชอบวิบัติคงเรียนหนังสือแบบนี้
ถึงได้เขียนภาษาไทยออกมาวิบัติเสียขนาดนั้น
อย่าไปว่าคนทำเลย เขาแค่ต้องการจะสื่ออะไรบางอย่าง
เราเองนั่งอ่านไปขำไป อารมณ์เสียไป เหอะๆ















คุณคิดยังไงกับสิ่งที่คุณเห็นและอ่านจากข้อความในภาพนี้

ที่มา : forum.mthai.com/view_topic.php?table_id=1&cate_id=34&post_id=52205